วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันเวลาผ่านไป...เร็วเหมือนโกหก

          ที่เค้าว่ากัน "วันเวลาผ่านไป...เร็วเหมือนโกหก" ท่าจะจริง แป๊บ ๆ เรา ๆ ท่าน ๆ ผู้ใฝ่ศึกษาเรียนรู้ ด้านนวัตกรรมผ่านทาง TCU ก็ใกล้จะถึงฝั่งกันแล้ว โดยขณะนี้ เชื่อว่า ทุก ๆ ท่าน คงจะมาถึงกลางน้ำ กันหมดในทุกหลักสูตรวิชา เหลือเพียงอีกครึ่งหนึ่ง เราก็จะมากันถึงฝั่ง (ข้อห้าม ไม่ควรคิดเกินเลยไปกว่านี้ ผู้เขียนสื่อถึงสถานะเสมือนการว่ายน้ำเท่านั้น มิใช่จะหมายถึงเป็นสิ่งอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม้ใกล้ฝั่ง หน่ะครับ) อีกประมาณซัก 4-5 สัปดาห์ เราก็คงจะต้องลากัน และคงเข้าสู่ผวังความเงียบเหงา ในช่วงปิดเทอมกันอีกแล้ว

           ปิดเทอม จบชุดวิชา จะทำอะไรกันดีหน่ะ หลายต่อหลายท่าน คงจะบอกว่า เฮ....น่าจะพอดีพักร้อนจากงานประจำกันพอดิบพอดี เฮ... แต่เราคงจะต้องร่วมสมัยอยู่กับน้ำ ย้อนกลับไปสมัยได้ชื่อว่า เป็นเมืองเวนิสตะวันออกกันอีกครั้ง เหตุเพราะน้ำท่วมหล่ะครับ หลายต่อหลายผู้คน จากข่าว และสื่อต่าง ๆ เดือดร้อนกันมาก เดือดร้อนกันเยอะ บ้างก็ว่า ถึงเพลาจะต้องโยกกรุงเทพไปยัง จังหวัดเพชรบุรี กันแล้ว เพราะเป็นที่ ๆ เหมาะสมที่สุด อย่าขึ้นเหนือจนเกินไป และอย่าลงใต้กันจนเกินไป ไม่รู้ว่า จะส่งผลต่อที่ทางจังหวัดเพชรบุรีกันในช่วงนี้หรือเปล่า (ที่ดินราคาแพงขึ้น จากนักพยากรณ์)

            เด็กนักเรียนหลายกลุ่ม คงจะบอกว่า ดีจังน้ำท่วม จะได้หยุดเรียน บางคนก็ว่า เอ...ทำไมการเปิดภาคเรียนของนักเรียนในช่วงนี้ ลำบากจัง จำต้องมีเหตุ (ผมไม่ได้พาเข้าสู่เรื่องของการบ้านการเมืองหน่ะครับ คือมันเป็นประวัติศาสตร์แห่งประเทศไทยกันไปเรียบร้อยแล้ว) ก็ไม่รู้ทำไม

            ภาพยนตร์ หนังจอแก้ว จอเงิน ช่วงนี้ ก็มีหนังออกมาทำนองปลุก และสร้างความเข้าใจให้กับคนในชาติกันมาก นำตัวอย่างนั้น ตัวอย่างนี้ มานำเสนอบอกกล่าวกันเป็นระยะ ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และตระหนักถึงความมั่นคง ความสามัคคี และฟังซึ่งกันและกันให้มาก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมมือร่วมไม้ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่แบ่งเป็นฝักฝ่าย เพราะทุกคนล้วนแล้วกำเนิดเกิดขึ้นบนพื้นแผ่นดินไทยด้วยกันทั้งสิ้น ดังที่มักจะได้ยินอยู่เนือง ๆ ว่า "คิดต่างได้ แต่ไม่แตกแยก" ทำนองนั้น

             หากเรา ๆ ท่าน ๆ ทำตนเป็นพหูสูตร รับฟัง รับรู้ กันให้มาก ก็คงจะดี มนุษย์เราทุกวันนี้ พูดกันเยอะ พูดกันมาก พูดกันไป บ้างก็สักแต่ว่าจะพูด ผมเคยได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า "ฟังให้เก่ง เป็นสองเท่า" ผมรู้สึกประทับใจในเนื้อหาเป็นอย่างไร และมักจะเหล่าต่อ ๆ ให้ผู้อื่นฟังเป็นระยะ ๆ เนื่องมาจาก ผมพบว่า คนเราในปัจจุบัน มักจะชอบแสดงเหตุ แสดงผลของตนเป็นหลัก น้อยนัก ที่จะรับฟัง ทำความเข้าใจ และรับรู้ผู้อื่น เค้าว่า คนเรานี้แปลกนัก คนปกติมีหูสองข้าง มีปากหนึ่งปากด้วยกันทั้งนั้น แต่กลับมักจะใช้ปาก มากกว่าหู กล่าวคือ พูดมาก ฟังน้อย หรือไม่ฟังซะด้วยซ้ัำไป มันเป็นหลักคิด เป็นมุมมอง ซึ่งผมสนใจมาก

              โลกเราทุกวันนี้ หากทุกท่าน ฟังให้เก่ง เป็นสองเท่า เมื่อเรามีเพียงปากเดียว ก็ใช้ให้เหมาะสม เมื่อเรามีหูสองข้าง ก็ใช้ให้พอดี เรา ๆ ท่าน ๆ หากต่างรับฟังเหตุ ฟังผล ผลัดกันพูด ผลัดกันทำความเข้าใจ ผลัดกันแสดงความคิดเห็น ปัญหาที่ผ่านมานั้น มันแค่เพียงธุลีดิน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรกันหนักหนา คำว่า "ปัญหา" นั้นอุบัติขึ้น เพื่ออะไร
               o รอการแก้ไข
               o ร่วมกันฝ่าฟัน
               o สร้างรอยหยักในสมอง ทำให้เก่ง ฉลาดขึ้น
               o เพื่อลูกหลานเราในอนาคตต่อไป

นั่นแหล่ะ คือตัวปัญหา ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ความรัก สามัคคี รู้จักช่วยเหลือ สนับสนุน อุ้มชูกัน ไม่แบ่งฝักฝ่าย ยึดมั่นความถูกต้อง รับฟังเหตุผล ไม่จ้องทำลายกัน สิ่งเหล่านี้ ควรต้องกำหนดให้เป็นพื้นฐานแห่งความเป็นไทย ซึ่งต้องแยกออกจากปัญหา เพราะปัญหาคือ สิ่งที่ทุกคนต้องร่วม ต้องช่วยกันแก้ไข เพื่อความเป็นชาติ ความเป็นปึกแผ่นของคนไทยตลอดไป

ปาย...ได้งัยเนี่ย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น